วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore's law

Moore's law คืออะไร
Moore' law คืออะไร

     กฎของมัวร์ (Mooer' low)  คือ กฎที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาวมีความว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุก ๆ สองปี กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ (Moore’s law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม



กฎของมัวร์  
          ทฤษฎีของมัวร์ได้กล่าวไว้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความซับซ้อนของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถผลิตไอซีที่มีความหนาแน่นได้เป็นสองเท่าทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ความก้าวหน้าอื่น ๆ อีกหลายอย่างก็เป็นไปตามกฎของมัวร์
           การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบplanar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีนี้เป็นต้นแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐานที่กล่าวอ้างไว้พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์ก็ได้กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์                                                                            
  พัฒนาการคอมพิวเตอร์ อดีต ปัจุบัน อนาคต                                                                                             ยุคสมัยของการใช้คอมพิวเตอร์บนพื้นฐานของการพัฒนาสารกึ่งตัวนำก็เริ่มก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด หากย้อนไปในปี ค.ศ. 1951 ซึ่งถือได้ว่า เป็นยุคเริ่มต้นเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยนั้นคงเทียบได้ยากกับเครื่องในปัจจุบันโดยเฉพาะการพัฒนายังเน้นให้ใช้ง่าย มียูสเซอร์อินเทอร์เฟสที่ดี มีการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย

คําว่า กฎของมัวร์นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์  Caltech นามว่า  Carver Mead ซึ่งกล่าวว่า      จํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965  ต่อมามัวร์จึงได้เปลี่ยนรูปกฎเพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                           
 

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบ้าน วันที่ 2 ก.ค 2556

รหัส ASCII (American Standard Code for Information Interchange)

      รหัสแอสกี เป็นรหัสที่นิยมใช้กันมาก จนสามมารถนับได้ว่าเป็นรหัสมาตรฐานที่ใช้ใน การสื่อสารข้อมูล ( Data Communications) ซึ่งจำเป็นต้องใช้รหัสการแทนข้อมูลเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้สามารถรับ - ส่งข้อมูลได้ในความหมายเดียวกัน รหัสแอสกีใช้เลขฐานสอง 8 หลักแทนข้อมูลหนึ่งตัวเช่นเดียวกับรหัสเอบซีดิค นั่นคือ 1 ไบต์มีความยาวเท่ากับ 8 บิต รวมทั้งมีการแบ่งรหัสออกเป็นสองส่วน คือ โซนบิตและนิวเมอริกบิตเช่นเดียวกัน



รหัส Unicode

เป็นรหัสแบบใหม่ล่าสุด ถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากรหัสขนาด 8 บิตซึ่งมีรูปแบบเพียง 256 รูปแบบ ไม่สามารถแทนภาษาเขียนแบบต่าง ๆ ในโลกได้ครบหมด โดยเฉพาะภาษาที่เป็นภาษาภาพ เช่น ภาษาจีนหรือภาษาญี่ปุ่นเพียงภาษาเดียวก็มีจำนวนรูปแบบเกินกว่า 256 ตัวแล้ว  UniCode จะเป็นระบบรหัสที่เป็น 16 บิต จึงแทนตัวอักษรได้มากถึง 65,536 ตัว ซึ่งเพียงพอสำหรับตัวอักษรและสัญลักษณ์กราฟฟิกโดยทั่วไป รวมทั้งสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ในปัจจุบันระบบ UniCode มีใช้ในระบบปฏิบัติการ Window NT ระบบปฏิบัติการ UNIX บางรุ่น รวมทั้งมีการสนับสนุนชนิดข้อมูลแบบ UniCode ในภาษา JAVA ด้วย



WANITA   SRANGMUANG

W      0101                   0111
A      0100                   0001
N      0100                   1110
I        0100                   1001
T       0101                   0100
A      0100                   0001
S      0101                   0011
R      0101                   0010
A      0100                   0001
N      0100                   1110
G      0100                   0111
M      0100                   1101
U      0101                   0101
A      0100                   0001
N      0100                   1110
G      0100                   0111

ทั้งหมดมี 16 ตัวอักษร   13  ไบต์   byte มี 8 bit นำ 16*8 = 128 bit   
ดังนั้นชื่อ Wanita srangmuang 
มี 128 bit 16 byte                                                                                                                                                                               

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)

บิตตรวจสอบ (Parity Bit)
บิตตรวจสอบ หรือพาริตี้บิต เป็นบิตที่เพิ่มเติมมาต่อท้ายอีก 1 บิต ถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบความแม่นยำและความถูกต้องของข้อมูลที่จะถูกจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์   สำหรับบิตตรวจสอบจะมีวิธีการตรวจสอบอยู่ 2 วิธี ได้แก่
1.      การตรวจตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Even Parity)
2.      การตรวจสอบบิตภาวะคี่ (Odd Parity)